สวัสดีครับ พบกันเหมือนเดิมใน Blog ของ Bitter English นะครับ ช่วงนี้หัวใจของทุกๆคน(ยกเว้นผู้เขียน)คงจะมีความรักกันใช่มั้ยล้า แน่นอนว่าสมัยนี้ก็มักจะมีการโพสต์รูปคู่กับแฟนตัวเองลง Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Instagram โดยมักจะมีคำบรรยายว่า "Happy Anniversary ... Month(s)" ซึ่งเวลาอ่านทุกครั้งก็รู้สึกขัดใจนิดๆ ไม่ใช่ว่าอิจฉาว่าแฟนสวยนะครับ แต่เห็นว่าใช้คำผิด! ซึ่งเจ้าคำว่า Anniversary นั้นแปลว่า "การฉลองครบรอบปี" เน้นตรงคำว่า"ปี"เลยครับ ส่วนถ้าใครคิดจะอยากใช้คำว่า"การฉลองครบรอบเดือน"จริงๆก็มีคำที่สามารถใช้ได้อยู่นะครับ นั่นคือ monthiversary แต่ศัพท์นี้ก็ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันเนอะ ดังนั้น เรารอจนกว่าจะครบรอบปี แล้วค่อยใช้ "Anniversary" ดีกว่านะครับ หรือว่ากลัวไม่ได้ใช้หว่า?(ล้อเล่นนะครับ แหะๆ)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังมีศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการครบรอบปีอีกนะครับ เช่น
Silver jubilee/anniversary แปลว่า ครบรอบ 25 ปี
Golden jubilee/anniversary แปลว่า ครบรอบ 50 ปี
Diamond jubilee/anniversary แปลว่า ครบรอบ 60 ปี
ถ้ามีแฟนแล้ว ลองเอาศัพท์เหล่านี้ไปใช้กับแฟนตัวเองนะครับ ^.^
Bitter English
Wednesday, September 30, 2015
Sunday, September 27, 2015
คำศัพท์วันรับปริญญา
Bitter English ขอเกาะกระแสรับปริญญาค่ะ ซึ่งในการรับปริญญาก็ต้องมีการฝึกซ้อมและวันรับจริง ใช่ไหมคะ วันนี้จึงขอนำเสนอคำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวกับวันรับปริญญาค่ะ
Rehearsal หมายถึงการฝึกซ้อม มักจะใช้กับการแสดงและงานพิธีต่างๆ ซ้อมรับปริญญาสามารถใช้ได้หลายแบบดังนี้ค่ะ rehearsal, commencement rehearsal, graduation rehearsal
ตัวอย่างเช่น The commencement rehearsal will be held on October 3rd.
Commencement หมายถึงพิธีรับปริญญาค่ะ เราสามารถใช้ commencement เดี่ยวๆ หรือจะพ่วงคำว่า day ต่อท้ายด้วยก็ได้ค่ะ เลือกใช้ได้หลายแบบค่ะ ไม่ว่าจะเป็น university commencement, commencement exercise, commencement day แต่ถ้าจะให้เหมาะกับงานในประเทศไทย น่าจะใช้ commencement ceremony ค่ะ เช่น The commencement ceremony will be on October 9th.
Graduation หมายถึง การสำเร็จการศึกษา graduation day หรือ graduation ceremony ก็หมายถึงพิธีรับปริญญาได้เช่นกันค่ะ
Graduation gown คือชุดครุยรับปริญญาค่ะ
Congratulations มี -s ด้วยนะคะ อันนี้หมายถึง ยินดีด้วยจ้า!! เป็นเหมือนคำพูด การกระทำ การมอบของขวัญเพื่อแสดงความยินดี ถ้าใครอยากจะเขียนป้ายแสดงความยินดีหรือการ์ดอวยพรให้เพื่อนก็ต้องใช้ congratulations ค่ะ ส่วน congratulation ที่ไม่มี s คือรูปคำนาม (noun) ของคำว่า congratulate (verb) หมายถึง กริยา/การกระทำที่เป็นการแสดงความยินดีค่ะ
ลองเอาคำศัพท์เหล่านี้ไปใช้กันนะคะ
Sunday, September 20, 2015
It's All About Rain - Idioms
ช่วงนี้ฝนตกบ่อย Bitter English จึงขอนำเสนอสำนวนภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับฝน จะได้เข้ากับบรรยายฝนตกชุ่มฉ่ำกระหน่าทั่วราชอาณาจักรไทย วันนี้ขอนำเสนอ 2 สำนวนค่ะ นั่นคือ raining cats and dogs และ rain check ค่ะ
ถ้าเอาไปใช้ในประโยคก็ประมาณว่า We didn't go out last night because it was raining cats and dogs.
หมายถึง พวกเราไม่ได้ออกไปข้างนอกเมื่อคืนนี้เพราะว่าฝนตกหนักมาก
ถ้าอยากรู้ที่มาที่ไปของสำนวนนี้ คลิ๊กที่นี่เลยค่ะ
Raining Cats and Dogs
อะไรเอ่ย ฝนตกหมาแมว? แมวไม่ได้ตกมาจากฟ้าและหมาก็ไม่ได้ตกมาเป็นสายฝนค่ะ สำนวนนี้หมายถึงฝนตกหนักมาก #ฝนตกหนักมาก ลองนึกดูเล่นๆนะคะว่า ถ้าหมาแมวตกมาแทนฝนจริงๆ ก็คงจะหนักใช่เล่นอยู่เหมือนกันนะคะถ้าเอาไปใช้ในประโยคก็ประมาณว่า We didn't go out last night because it was raining cats and dogs.
หมายถึง พวกเราไม่ได้ออกไปข้างนอกเมื่อคืนนี้เพราะว่าฝนตกหนักมาก
ถ้าอยากรู้ที่มาที่ไปของสำนวนนี้ คลิ๊กที่นี่เลยค่ะ
Rain Check
เวลาที่มีใครชวนเราไปดูหนัง ทานข้าว หรือเดินเล่น แต่เราไปไม่ได้ แล้วเราพูดว่า I'll take a rain check. หมายถึง ครั้งนี้เราไปไม่ได้ แต่คราวหน้าไม่พลาดแน่นอน
ตัวอย่างเช่น I can't go to the movie with you, but can I take a rain check?
ฉันไปดูหนังกับคุณคราวนี้ไม่ได้ ขอเป็นคราวหน้าได้ไหม?
สำนวนนี้มีที่มาที่ไปจากกีฬาเบสบอล ย้อนไปในยุค 80 นู้นค่ะ กีฬาเบสบอลเล่นกลางแจ้ง เวลาที่ฝนตกก็ต้องงดการแข่งขัน ดังนั้นผู้จัดเลยแจกตั๋วที่เขียนว่า rain check ที่บอกว่าคุณสามารถมาดูเกมใหม่ได้ในวันพรุ่งนี้ หรือวันอื่นๆ ค่ะ
Wednesday, September 16, 2015
Welcome to Bitter English
Welcome to Bitter English
สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับสู่ภาษาอังกฤษแสนขม ภาษาที่เรียนมานานเท่าไหร่ก็ยังพูดไม่ได้ ฟังไม่ออกซะที บล็อคที่จะช่วยเติมเต็มประสบการ์ภาษาอังกฤษของคุณให้มากขึ้นและเปลี่ยน bitter English ให้เป็น Better English
ทำไมภาษาอังกฤษถึงขม?
นักเรียนส่วนมากมักจะตอบว่า ภาษาอังกฤษมีคำศัพท์เยอะ grammar ก็ยาก แต่ถ้าถามวัยทำงานเค้าก็จะบอกว่า กลัวผิด กลัวหน้าแตก กลัวฝรั่ง สาระพัดจะกลัว ต่างคนก็ต่างเหตุผลค่ะ
ถ้าจะให้วิเคราะห์จากประสบการณ์ ก็ขอฟันธงว่า..อันดับที่ 1 เป็นเพราะขาดการฝึกฝนค่ะ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทักษะค่ะ ต้องใช้บ่อย เห็นบ่อย อ่านบ่อย ถึงจะเก่งและใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว ถามอะไรก็ตอบได้เหมือนอับดุล การฝึกบ่อยๆยังทำให้เรามีความกล้าและมั่นใจมากขึ้นเวลาใช้ภาษาอังกฤษ
รองลงมาคือความกลัวค่ะ กลัวผิด กลัวเพื่อนหัวเราะ กลัวคนอื่นมองว่ากระแดะพูดภาษาฝรั่ง อันนี้ต้องเปิดใจให้กว้างและยอมรับความเป็นจริงที่ว่าไม่มีใครเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่แล้วจะสปีคอิงลิช (speak English) ได้คล่องปรื๋อเหมือนเจ้าของภาษา ทุกคนต้องผิดมาก่อนทั้งนั้นค่ะ เหมือนที่เค้าว่า "ผิดเป็นครู" ฉะนั้น การทำผิดไม่ใช่เรื่องไม่ดีเสมอไปค่ะ
ฝึกษาอังกฤษอย่างไรดีล่ะ
ในยุคเทคโนโลยีนี้ เราสามารถเข้าถึงภาษาอังกฤษได้ง่ายมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ต หนังสือ ภาพยนตร์ เพลง โทรศัพท์ แล้วแต่จะเลือกเลยค่ะ
1. สำรวจความชอบของตัวเอง เริ่มจากสิ่งที่ชอบก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ เหมือนเราได้ออกแบบการเรียนในแบบที่เราชอบ ใครชอบทำอาหาร ก็ลอง search หาสูตรอาหารเป็นภาษาอังกฤษ อ่านไม่ได้ แปลไม่ออกก็ให้ดิกชินารี่ (dictionary) ช่วยค่ะ ครั้งแรกอาจจะต้องใช้ dictionary เยอะหน่อย แต่รับรองค่ะว่า สูตรอาหารอันที่ 2-3-4 หรืออันต่อๆไป ทำอ่านง่าย อ่านไวขึ้น เพราะเราจะเจอคำศัพท์ซ้ำๆเดิมๆ ที่เกี่ยวกับการทำอาหารค่ะ
ถ้าใครชอบดูภาพยนตร์ก็ลองเปลี่ยนจากพากย์ไทยเป็นเสียงในฟิลม์ (soundtrack) ค่ะ จะได้ซึมซับภาษาอังกฤษเข้าไปด้วย ได้ประโยคสั้นๆก็ยังดีค่ะ ชอบฟังเพลงก็ลองหาเพลงป๊อบฟังง่ายๆ (easy listening pop music) มาฟังแล้วร้องตามก็สนุกค่ะ เพลงไหนที่ชอบมากก็ลอง search หาเนื้อเพลงแล้วแปลความหมายก็ดีค่ะ อันนี้จะได้คำสแลงแล้วก็สำนวนค่ะ
2. มีวินัย ให้เวลากับภาษาอังกฤษ การเรียนภาษาต้องใช้เวลาค่ะ ลองนึกถึงตอนเราเป็นเด็กซิค่ะ กว่าจะพูดได้ต้องฟังคุณพ่อคุณแม่พูดมานานตั้งกี่ปี กว่าเราจะพูดได้ กว่าจะใช้ภาษาได้ถูกต้องก็ยังใช้เวลาเลยค่ะ ฉะนั้น เรียนภาษาอังกฤษก็ต้องใช้เวลาเช่นกันค่ะ ถ้าอยากจะฝึก ไม่ว่าจะใช้เวลาใด หรือรูปแบบใดก็ตาม ขอให้ทำสม่ำเสมอค่ะ ควรตั้งจุดมุ่งหมายไว้ค่ะว่า วันนี้/สัปดาห์นี้ ฉันจะทำอะไรให้ได้ แล้วจะใช้เวลาฝึกเท่าไหร่ ตั้งเป้าหมายสั้นๆ เพื่อเราจะได้มีกำลังใจและภูมิใจเมื่อบรรลุเป้าหมาย
3. เรียนง่ายๆก็ได้นะตัวเธอ ไม่ต้องกลัวใครล้อว่าโตแล้วแต่ยังอ่านหนังสือเด็กอยู่อีก หรือว่าเรียนอะไรน่ะ ง่ายจัง การอ่านหนังสือเด็กหรือฟังเพลงเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องแย่ค่ะ เพราะจะทำให้เรามีกำลังใจในการเรียนต่อไป แต่ก็ไม่ใช่จะทำอะไรง่ายๆตลอดเวลานะคะ อย่างนั้นเราก็จะไม่พัฒนา ขอแนะนำสูตร -1,0,+1 ค่ะ อันนี้ไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์นะคะ
-1 คือ ระดับภาษาที่ง่ายกว่าความสามารถของเรา 1 ระดับ เพื่อทบทวนความรู้และให้กำลังใจตัวเอง
0 คือ ระดับภาษาที่เท่ากับความสามารถของเรา เพื่อรักษาระดับของตัวเองไม่ให้น้อยลงไป
+1 คือ ระดับภาษาที่ยากกว่าความสามารถของเรา 1 ระดับ เพื่อท้าทายความสามารถของเราค่ะ
4. ใช้ภาษาอังกฤษเมื่อมีโอกาส เราอยู่ในประเทศไทย คุยกับใครหรือทำอะไรก็ใช้ภาษาไทย ฉะนั้น ถ้ามีโอกาสต้องฝึกค่ะ ถ้าเจอฝรั่งมาทักก็อย่าหนีนะค่ะ ตั้งสติ ฟังเค้าก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยถอยไปตั้งหลักค่ะ จริงๆแล้ว แค่พูดประโยค basic เช่น How are you? What's your name? Where are you from? ก็ได้ค่ะ ฝึกอะไรง่ายๆ แต่ออกเสียงได้ถูกต้อง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วค่ะ เราถามแบบเดิมก็จริง แต่สถานการณ์และคำตอบมันเปลี่ยนไปค่ะ เราก็จะได้ฝึกฟัง และจะได้จำคำตอบของคู่สนทนาไปใช้ได้ด้วย
5. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น สรุปคือต้องฝึก ฝึก ฝึก และฝึกค่ะ
สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับสู่ภาษาอังกฤษแสนขม ภาษาที่เรียนมานานเท่าไหร่ก็ยังพูดไม่ได้ ฟังไม่ออกซะที บล็อคที่จะช่วยเติมเต็มประสบการ์ภาษาอังกฤษของคุณให้มากขึ้นและเปลี่ยน bitter English ให้เป็น Better English
ทำไมภาษาอังกฤษถึงขม?
นักเรียนส่วนมากมักจะตอบว่า ภาษาอังกฤษมีคำศัพท์เยอะ grammar ก็ยาก แต่ถ้าถามวัยทำงานเค้าก็จะบอกว่า กลัวผิด กลัวหน้าแตก กลัวฝรั่ง สาระพัดจะกลัว ต่างคนก็ต่างเหตุผลค่ะ
ถ้าจะให้วิเคราะห์จากประสบการณ์ ก็ขอฟันธงว่า..อันดับที่ 1 เป็นเพราะขาดการฝึกฝนค่ะ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทักษะค่ะ ต้องใช้บ่อย เห็นบ่อย อ่านบ่อย ถึงจะเก่งและใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว ถามอะไรก็ตอบได้เหมือนอับดุล การฝึกบ่อยๆยังทำให้เรามีความกล้าและมั่นใจมากขึ้นเวลาใช้ภาษาอังกฤษ
รองลงมาคือความกลัวค่ะ กลัวผิด กลัวเพื่อนหัวเราะ กลัวคนอื่นมองว่ากระแดะพูดภาษาฝรั่ง อันนี้ต้องเปิดใจให้กว้างและยอมรับความเป็นจริงที่ว่าไม่มีใครเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่แล้วจะสปีคอิงลิช (speak English) ได้คล่องปรื๋อเหมือนเจ้าของภาษา ทุกคนต้องผิดมาก่อนทั้งนั้นค่ะ เหมือนที่เค้าว่า "ผิดเป็นครู" ฉะนั้น การทำผิดไม่ใช่เรื่องไม่ดีเสมอไปค่ะ
ฝึกษาอังกฤษอย่างไรดีล่ะ
ในยุคเทคโนโลยีนี้ เราสามารถเข้าถึงภาษาอังกฤษได้ง่ายมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ต หนังสือ ภาพยนตร์ เพลง โทรศัพท์ แล้วแต่จะเลือกเลยค่ะ
1. สำรวจความชอบของตัวเอง เริ่มจากสิ่งที่ชอบก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ เหมือนเราได้ออกแบบการเรียนในแบบที่เราชอบ ใครชอบทำอาหาร ก็ลอง search หาสูตรอาหารเป็นภาษาอังกฤษ อ่านไม่ได้ แปลไม่ออกก็ให้ดิกชินารี่ (dictionary) ช่วยค่ะ ครั้งแรกอาจจะต้องใช้ dictionary เยอะหน่อย แต่รับรองค่ะว่า สูตรอาหารอันที่ 2-3-4 หรืออันต่อๆไป ทำอ่านง่าย อ่านไวขึ้น เพราะเราจะเจอคำศัพท์ซ้ำๆเดิมๆ ที่เกี่ยวกับการทำอาหารค่ะ
ถ้าใครชอบดูภาพยนตร์ก็ลองเปลี่ยนจากพากย์ไทยเป็นเสียงในฟิลม์ (soundtrack) ค่ะ จะได้ซึมซับภาษาอังกฤษเข้าไปด้วย ได้ประโยคสั้นๆก็ยังดีค่ะ ชอบฟังเพลงก็ลองหาเพลงป๊อบฟังง่ายๆ (easy listening pop music) มาฟังแล้วร้องตามก็สนุกค่ะ เพลงไหนที่ชอบมากก็ลอง search หาเนื้อเพลงแล้วแปลความหมายก็ดีค่ะ อันนี้จะได้คำสแลงแล้วก็สำนวนค่ะ
2. มีวินัย ให้เวลากับภาษาอังกฤษ การเรียนภาษาต้องใช้เวลาค่ะ ลองนึกถึงตอนเราเป็นเด็กซิค่ะ กว่าจะพูดได้ต้องฟังคุณพ่อคุณแม่พูดมานานตั้งกี่ปี กว่าเราจะพูดได้ กว่าจะใช้ภาษาได้ถูกต้องก็ยังใช้เวลาเลยค่ะ ฉะนั้น เรียนภาษาอังกฤษก็ต้องใช้เวลาเช่นกันค่ะ ถ้าอยากจะฝึก ไม่ว่าจะใช้เวลาใด หรือรูปแบบใดก็ตาม ขอให้ทำสม่ำเสมอค่ะ ควรตั้งจุดมุ่งหมายไว้ค่ะว่า วันนี้/สัปดาห์นี้ ฉันจะทำอะไรให้ได้ แล้วจะใช้เวลาฝึกเท่าไหร่ ตั้งเป้าหมายสั้นๆ เพื่อเราจะได้มีกำลังใจและภูมิใจเมื่อบรรลุเป้าหมาย
3. เรียนง่ายๆก็ได้นะตัวเธอ ไม่ต้องกลัวใครล้อว่าโตแล้วแต่ยังอ่านหนังสือเด็กอยู่อีก หรือว่าเรียนอะไรน่ะ ง่ายจัง การอ่านหนังสือเด็กหรือฟังเพลงเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องแย่ค่ะ เพราะจะทำให้เรามีกำลังใจในการเรียนต่อไป แต่ก็ไม่ใช่จะทำอะไรง่ายๆตลอดเวลานะคะ อย่างนั้นเราก็จะไม่พัฒนา ขอแนะนำสูตร -1,0,+1 ค่ะ อันนี้ไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์นะคะ
-1 คือ ระดับภาษาที่ง่ายกว่าความสามารถของเรา 1 ระดับ เพื่อทบทวนความรู้และให้กำลังใจตัวเอง
0 คือ ระดับภาษาที่เท่ากับความสามารถของเรา เพื่อรักษาระดับของตัวเองไม่ให้น้อยลงไป
+1 คือ ระดับภาษาที่ยากกว่าความสามารถของเรา 1 ระดับ เพื่อท้าทายความสามารถของเราค่ะ
4. ใช้ภาษาอังกฤษเมื่อมีโอกาส เราอยู่ในประเทศไทย คุยกับใครหรือทำอะไรก็ใช้ภาษาไทย ฉะนั้น ถ้ามีโอกาสต้องฝึกค่ะ ถ้าเจอฝรั่งมาทักก็อย่าหนีนะค่ะ ตั้งสติ ฟังเค้าก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยถอยไปตั้งหลักค่ะ จริงๆแล้ว แค่พูดประโยค basic เช่น How are you? What's your name? Where are you from? ก็ได้ค่ะ ฝึกอะไรง่ายๆ แต่ออกเสียงได้ถูกต้อง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วค่ะ เราถามแบบเดิมก็จริง แต่สถานการณ์และคำตอบมันเปลี่ยนไปค่ะ เราก็จะได้ฝึกฟัง และจะได้จำคำตอบของคู่สนทนาไปใช้ได้ด้วย
5. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น สรุปคือต้องฝึก ฝึก ฝึก และฝึกค่ะ
เรามาฝึกภาษาอังกฤษด้วยกันนะคะ แล้วเปลี่ยน Bitter English (ภาษาอังกฤษแสนขม)
ให้เป็น Better English ภาษากฤษที่ดีกว่า กันค่ะ
Subscribe to:
Posts (Atom)